ทิศทางตลาดความงามในปี 2018

aestheticZecret

สมาชิกโดดเด่น
สมัครเมื่อ
9 กรกฎาคม 2015
โพสต์
18




“ธุรกิจความงามจะโตขึ้นเรื่อยๆ โตไม่มีวันตก”


ช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้เปิดเผยผลการวิจัยทางธุรกิจ 10 อันดับธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วงในปี 2561 โดยระบุว่า ธุรกิจดาวรุ่งอันดับ 1 ได้แก่ กลุ่มธุรกิจไอที-สื่อสารที่ขยับขึ้นมารั้งอันดับหนึ่ง ในขณะที่ธุรกิจเครื่องสำอางและครีมบำรุงผิวยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ติดอันดับธุรกิจดาวรุ่งในอันดับที่ 4 สอดคล้องกับมุมมองการวิเคราะห์ที่ชี้ว่า ธุรกิจสุขภาพและความงามมีการเติบโตขยายตัวสูง และมีโอกาสทางธุรกิจอีกมากมาย อยู่ที่ผู้ประกอบการจะสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อย่างไรให้ตอบโจทก์ผู้บริโภคได้มากกว่า







ในปัจจุบัน อุตสาหกรรมความงามของไทยมีมูลค่าสูงกว่า 1.8 แสนล้านบาท และมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 7.8 ต่อปี โดยมีกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงดูแลผิว เป็นตลาดความงามที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็นสัดส่วน 45 เปอร์เซ็นต์หรือเกือบ 1 ใน 2 ของมูลค่าตลาดรวมทั้งหมด และกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมอันดับรองลงมาได้แก่ ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผม และกลุ่มเครื่องสำอาง ซึ่งความนิยมของผู้บริโภคที่มีต่อกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเกิดจากสภาพอากาศของเมืองไทย ที่เป็นเมืองร้อน แดดแรง ผู้บริโภคจึงมีความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เน้นให้ความชุ่มชื้น และช่วยป้องกันผิวจากแสงแดด ดังนั้นจึงทำให้ผลิตภัณฑ์กลุ่มมอยเจอร์ไรเซอร์และครีมกันแดดได้รับความนิยมสูงอยู่เสมอจากผู้บริโภคภายในประเทศ







สำหรับทิศทางตลาดความงามในปี 2018 เทรนด์ความงามที่กำลังมาแรงหนีไม่พ้นกลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภท “Vegan” ซึ่งมีการเลือกใช้วัตถุดิบและสารสกัดสำคัญที่มาจากธรรมชาติ ปราศจากการใช้สารสังเคราะห์ (synthetic ingredients) รวมไปถึงส่วนประกอบที่มาจากสัตว์ โดยผ่านกระบวนการผลิตที่มีมาตรฐานสูง ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ อ่อนโยนต่อผิว และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้บริโภคในยุคนี้เริ่มให้ความใส่ใจกันมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้เทรนด์การดูแลสุขภาพที่กำลังฟีเวอร์ในสังคมไทย ทำให้ผู้คนจำนวนมากหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพตนเองกันมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ตนเองมีสุขภาพร่างกาย รวมทั้งภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูดี ดังนั้นนอกเหนือจากการออกกำลังกาย การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวพรรณจึงมีความสำคัญเช่นกัน ทำให้กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนช่วยในการลดเลือนริ้วรอย ยกกระชับใบหน้า และคงความอ่อนเยาว์ สามารถตอบโจทก์กลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Anti-Aging ไม่เพียงแต่ได้รับความนิยมเฉพาะกลุ่มผู้เริ่มมีอายุเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงกลุ่มคนที่หันมาใส่ใจการดูแลสุขภาพตนเอง







อย่างไรก็ตาม นอกจากผลิตภัณฑ์ประเภท “Vegan” และผลิตภัณฑ์กลุ่ม Anti-Aging ที่เป็นกระแสความงามมาแรงในปี 2018 แล้ว สิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการควรตระหนักและให้ความสำคัญคือ การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาพัฒนาใช้กับผลิตภัณฑ์ความงาม เพื่อให้สามารถตอบโจทก์ความต้องการของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์นวัตกรรม Anti-Pollution ที่ช่วยป้องกันมลภาวะ และฝุ่นละอองขนาดเล็ก เหมาะสำหรับผู้บริโภคที่ต้องเผชิญมลภาวะจากสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ผู้ประกอบการควรพัฒนาสินค้าให้มีประสิทธิภาพและเห็นผลอย่างรวดเร็ว สอดคล้องกับสังคมในยุคปัจจุบันที่ผู้คนใช้ชีวิตเร่งรีบ ไม่ชอบการรอเป็นเวลานานๆ



ผู้ประกอบการที่สนใจสร้างแบรนด์ความงาม สามารถดูรายละเอียดข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมได้ที่ www.at-z.co.th/ourproducts

หรือสอบถามผ่านช่องทาง

LINE@ : @at-ze

http://line.me/ti/p/@AT-ZE
 
ด้านบน ด้านล่าง